ในงานจัดซื้อนั้นมีขอบเขตงานที่กว้างขวางมาก เรียกว่าซื้อกันตั้งแต่ไม้จิ้มฟันไปจนถึงเรือรบ การซื้อสิ่งต่างๆ นอกเหนือไปจากกระบวนการจัดซื้อพื้นฐานการสอบราคา ประมูล ออกใบสั่งซื้อ/สัญญา ก็ต้องมีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านในสิ่งนั้นๆที่จะซื้ออีกด้วย ดังนั้นสิ่งที่นักจัดซื้อขาดไม่ได้คือการขวนขวายหาความรู้อย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราจะยังไม่เคยซื้อก็ตาม เมื่อโอกาสมาถึง ความรู้ ความสามารถพร้อม ก็สามารถแสดงฝีมือได้เลย
ปัจจุบันผมทำงานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งในวงการนี้
สื่อ โฆษณา ประชาสัมพัฯธ์ ทางการตลาดมีมูลค่าสูงมาก เป็นหลักร้อยล้านต่อปี
ถามว่าเคยซื้อ หรือว่าจ้างมาก่อนหรือไม่ ตอบได้ว่าก็เพิ่งเคยทำในช่วงระยะเวลา 6
เดือนที่ผ่านมานี่เอง แต่จากที่พยายามศึกษาหาความรู้จาก ทีมงานที่ทำแต่เดิม
หน่วยงานการตลาด ผู้ขาย/ผู้ให้บริการ แล้วก็สื่อ Online
ต่างๆ ก็ไม่ได้ยากเย็นเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ ครั้งนี้จะนำเสนอถึงการจัดซื้อที่เกี่ยวกับสื่อการตลาด
(ไม่รวมงานออกแบบ จัดทำสื่อ การทำโมเดล การถ่ายรูป ถ่ายโฆษณา) ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลายในปัจจุบัน ได้แก่
- งานสิ่งพิมพ์ แผ่นพับ ใบปลิว โบรชัวร์ อันนี้แน่นอนจะเป็นการจ้างพิมพ์ปริมาณมากๆไว้สำหรับแจก ซึ่งผลิตงานโดยโรงพิมพ์ สิ่งที่เกี่ยวกับนักจัดซื้อคือราคาแบบขั้นบันได (Step Pricing) ต้องให้คำแนะนำปริมาณการผลิตที่ราคาเหมาะสมได้ และถ้าเป็นงานพิมพ์ที่รูปแบบ กระดาษ จำนวนสี ซ้ำๆ ขอแผนมาเลยครับว่าทั้งปีจะมีจำนวนเท่าไหร กี่หน้าต่อปี แจกกันกี่งานกี่ครั้งกี่เล่ม เพื่อให้ได้ปริมาณไว้ต่อรองราคา อีกอย่างคือหน่วยงานการตลาดคงต้องช่วยในการกำหนดรูปแบบที่เป็นมาตรฐานด้วยอีกทาง
- งานป้ายบอกทาง ไวนิล ซันเชด ต้องนึกถึงป้ายหาเสียงขนาดเท่าประตูบ้านแต่เป็นป้ายโฆษณา งานนี้ไม่ได้มีเพียงค่าผลิตป้ายอย่างเดียว ต้องมีค่าติดตั้ง (นำไปวาง) ซึ่งป้ายแบบนี้จะวางแล้วทิ้งไปเลย ซึ่งจะมีผู้ที่ทำหน้าที่ตามเก็บอันได้แก่ รถซาเล้ง ผู้ที่นำไปทำที่บังแดด/ฝาบ้าน และเทศกิจ โดยปกติการวางป้ายจะวางถัดจากกำหนดการเก็บ 1 วันเพื่อให้ป้ายอยู่นานที่สุด เช่น มีการเก็บป้ายทุกวันอาทิตย์ หากวางวันจันทร์ป้ายเราจะอยู่ได้ 6-7 วัน ส่วนป้ายไวนิล ซันเชด อาจมีค่าขอติดตั้งตามร้านค้าต่างๆ ด้วย การจ้างงานนี้ต้องอาศัยความเชื่อมั่นและความซื่อสัตย์ของผู้ผลิตเพราะเราคงไม่ได้ไปตรวจนับและติดตามการวางป้ายทั้งหมด (ปกติใช้การสุ่มเช็คตามรายทาง)
- งานป้ายขนาดใหญ่ (Bill Board) ในทำเลที่ดีๆราคาสูงหลักแสนบาทต่อเดือนก็มี แถมยังต่อคิว ทางเลือกของนักจัดซื้อจึงมีไม่มากนัก ต่อรองราคายาก ชักช้าจะถูกแซงคิวได้ และมักจะถูกพ่วงมาด้วยว่าต้องใช้ผู้ผลิตป้ายที่กำหนดให้เราหาเองซึ่ง แน่นอนแพงกว่าปกติ อีกอย่างที่ต้องคำนึงถึงคือภาษีป้าย ที่แพงที่สุดคือประเภท 3 มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษอยู่บนภาษาไทยหรืออังกฤษล้วน แพงกว่าประเภทอื่นเท่าตัว จะสังเกตุได้ว่าป้ายโฆษณาจะมีตัวหนังสือภาษาไทยอยู่ด้านบนเสมอ
- งานลงโฆษณา สื่อโทรทัศน์ วิทยุ รถโฆษณา รถไฟฟ้า รถสาธารณะ การลงโฆษณานี้ต้องอาศัยเอเจนซี่ (Agency) โดยเอเจนซี่จะไปทำการเหมาเวลา/สถานที่มาเพื่อปล่อยต่อ ดังนั้นนักจัดซื้ออาจพบได้ว่าการลงโฆษณาผ่านเอเจนซี่ จะถูกว่าการซื้อโฆษณาตรงจากเจ้าของ และเอเจนซี่ในส่วนนี้จะเป็นรายใหญ่การสร้างความสัมพันธ์แบบคู่ค้าเป็นวิธีที่ช่วยได้ในการจัดซื้อ จัดจ้าง การมีเงินอย่างเดียวอาจไม่ช่วยอะไรถ้าช่วงเวลานั้นโฆษณาเต็ม ซึ่งการลงโฆษณาสื่อโทรทัศน์/วิทยุนี้ปัจจัยที่สำคัญคือช่วงเวลา ช่วงเวลาที่มีผู้ดู/ฟังเยอะราคาก็จะแพงดังนั้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่ลงโฆษณาสำคัญมาก
- งานส่งข้อความทางมือถือ (SMS) ไปรษณีย์ หรือ ทาง อีเมลล์ (E-Mail) ข้อมูลของเราเป็นข้อมูลที่มีราคาประมาณ 3 ถึง 5 บาทต่อรายชื่อ ขึ้นกับเงินเดือนและอาชีพ มีบริษัทที่ขายหรือให้เช่ารายชื่อของกลุ่มเป้าหมายแล้วทำการส่ง SMS / ไปรษณีย์ให้เรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการขายคฤหาสน์หลักร้อยล้าน เราคงต้องมองหากลุ่มคนมีฐานะ แล้วอะไรหละที่บอกฐานะ อย่างหนึ่งคือสินค้าฟุ่มเฟือย คือ ซุปเปอร์คาร์ (Super Car) ไปเช่าชื่อคนที่ซื้อซุปเปอร์คาร์เพื่อส่งโบร์ชัวร์ และ SMS ไปให้กลุ่มนี้เป็นต้น
- งานแจกใบปลิว จัดกิจกรรม เดิน/วิ่ง/ปั่นจักรยาน ข้อนี้เป็นการจ้างผ่านเอเจนซี่ (Agency) โดยจะคิดค่าใช้จ่ายแยกรายละเอียด (Break Down) เป็นค่าบุคลากร ค่าอาหาร ค่าเคลียร์สถานที่ยืนแจก แล้วก็ชาร์จค่า Agency Fee 15-20% แบบนี้จะต่อราคาก็คงต้องดูว่าจำนวนเอกสารกับคนแจกเป็นอย่างไร การแต่งกายมีค่าใช้จ่ายหรือไม่ ส่วนค่าเคลียร์สถานที่ยืนแจกที่ต้องจ่ายให้เจ้าที่นั้น พิสูจน์ยากหากไปถามผู้รับเขาคงไม่บอก อาจเทียบหลายเจ้าหรือดูจากประวัติเดิมที่เคยจ่าย ที่สำคัญคือค่า Agency Fee หากเป็นรายที่ใช้ประจำหรือมีการจ้างสำหรับงานประเภทอื่นๆ ต้องต่อรองขอเปอร์เซนต์ลดลง ปัจจุบันต่างมีความคิดขึ้นมาว่ายืนแจกเฉยๆมันธรรมดาไป เดินแจกไปตามที่ต่างๆ หรือทำเป็นทีมจักรยานใส่เสื้อเป็นโฆษณา ติดธงปั่นไปเรื่อยๆ หรือ ยืนเ/เต้นกลางสี่แยก แบบนี้ก็มีให้เห็นครับ
- งานนิทรรศการ งาน Event การจัดทำ Boot จ้าง Pretty เพื่อโปรโมทงาน คงต้องลองนึกถึงงาน Motor Show ที่มีการจัดนิทรรศการ (Event) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการ ของบริษัทเรา ไปเช่าพื้นที่ สร้าง Boot ตกแต่ง มี Pretty หน้าตาสะสวย มาช่วยดึงดูดผู้สนใจ แนะนำสินค้า ซึ่งจะใช้งาน Agency เช่นกัน โดยจะคิดค่าใช้จ่ายแยกรายละเอียด (Break Down) เป็นค่าเช่าสถานที่ ค่าจัดทำ Boot บุคลากร ค่าอาหาร แล้วก็ชาร์จค่า Agency Fee 15-20% ควรรวบรวมงานเป็นปริมาณงานมากๆ หรือแผนงานทั้งปีเพื่อต่อรอง Agency Fee ให้ลดลง
- งานสื่อออนไลน์ (Online Marketing ) ประกอบไปด้วย งานจัดทำ Website, ลงโฆษณาใน Website (Banner), Search Engine Optimization (SEO) Google Adwords, Google Display Net work (GDN), Social Medias Marketing (Facebook, Tweeter),Youtube, Game/Free Apllication เป็นสื่อสมัยใหม่ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพช่องทางหนึ่ง และนับวันมูลค่าในแต่ละองค์กรที่จ่ายให้กับสื่อประเภทนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ และเป็นการจัดซื้อที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจพอสมควร
- การจัดทำ Website ซึ่งปัจจุบันการมี Website เพื่อการโฆษณา เป็นช่องทางในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ลูกค้า หรือแม้กระทั่งการขายสินค้า Online (E-Commerce) เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่จำเป็นต้องมีของแต่ละองค์กรไปแล้ว บางแห่งมีหน่วยงาน IT ของตนเองตั้งแต่จัดทำจนถึงมี Sever ของตนเองแบบนี้จ่ายผ่านเงินเดือนพนักงานกับค่าซื้ออุปกรณ์และซอฟแวร์ (Hardware and Software License) แต่บางแห่งเลือกที่จะ Outsource ออกไปให้ผู้ที่มีความชำนาญออกแบบ ดูแล รวมถึงเช่า Hosting จัดเก็บ ซึ่งค่าจัดทำขึ้นอยู้กับความซับซ้อน และจำนวนข้อมูล จำนวนหน้า ไม่ได้มีอัตราตายตัว แพงหรือไม่ขึ้นกับจำนวนชั่วโมงการทำงาน (Man Hour) ของผู้จัดทำ ส่วนค่าดูแลให้ Website สามารถแสดงให้ผลได้เป็นปกติ รวมการปรับปรุงเล็กน้อย การเช่าพื้นที่จัดเก็บ (Hosting) นั้นจะจ่ายเป็นแบบรายเดือนคงที่ หลัก 1-2 หมื่นบาทต่อเดือน เรียกว่าค่า Maintenance Service Agreement หรือ MA
- การลงโฆษณา Banner กับ Website อื่น ที่มีกลุ่มเป้าหมายเข้าไปใช้งาน เช่น เป็น Banner ตาม Website ของหนังสือพิมพ์ กระทู้ยอดฮิต เช่น พันธ์ทิพย์ ซึ่งสามารถซื้อได้โดยตรงจากเจ้าของ Web หรือ ผ่าน Agency โดยราคาขึ้นกับตำแหน่งของ Web ซึ่งบาง Web ถึงขนาดต้องไปแชร์กับอีก 2-3 บริษัทในตำแหน่งนั้น (สลับกันแสดงผล) ราคาเฉลี่ยประมาณ 3 ถึง 6 หมื่นบาทขึ้นกับตำแหน่งที่กล่าวไปแล้ว (ราคาไม่รวมค่าออกแบบจัดทำ Banner)
- Search Engine Optimization (SEO) เป็นการจ้าง Agency มาทำให้ Website ของเราติดในหน้าแรกๆ ของ Major Search Engine คือ google.com, google.co.th, Yahoo.com, msn.com โดยประมาณ 80% จะนิยมคลิกเฉพาะเว็บไซต์ที่ปรากฏอยู่ในลำดับที่ไม่เกิน 20 หรือไม่เกิน 2 หน้า เท่านั้น ซึ่ง Agency จะมาทำการ วิเคราะห์และจัดทำคำค้นหาต่าง และโครงสร้างของ Website การแลก Link, Banner การบรรจุลงในฐานข้อมูลเพื่อให้ค้นหาง่ายขึ้น ค่าใช้จ่ายมีเพียงจ่ายให้ Agency เท่านั้นไม่ต้องจ่ายให้ Search Engine (Google, Yahoo) ซึ่ง Agency จะรับประกันเช่นว่าภายใน 4-6 เดือน Website เราจะขึ้นไปที่อันดับ 1-10 ในจำนวน 5 Keywords แบบนี้ประมาณ 4-5 หมื่นบาท
- Google (Search Engine Adwords) / Google Display Network (GDN) คงไม่มีใครที่เล่น Internet แล้วไม่รู้จัก Google บ้าง โดย Google ให้บริการฟรีกับค้นที่มาค้นข้อมูลต่างๆผ่าน Google ซึ่งก็เป็นช่องทางของ Google ที่เรียกเก็บค่าโฆษณาด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
- Google AdWords ลองนึกภาพใน Google เมื่อเราพิมพ์ข้อความ(Key Word) เพื่อหาข้อมูลจะมี Website ชุดหนึ่งที่ แสดงผลทางด้านบนและด้านข้าง เช่น ตามตัวอย่างค้นหา “คอนโดแนวรถไฟฟ้า” จะมีตำแหน่งพิเศษบนและขวามีคำว่า Ad แสดงอยู่แบบนี้ผู้ลงโฆษณาจะเสียเงินค่าโฆษณาเมื่อมีผู้ Click Link เพื่อเข้าชม Web Site เท่านั้น (Pay Per Click –PPC) โดยโฆษณาจะปรากฏตามคีย์เวิร์ด ที่เลือกไว้ ราคาของ Keyword ไม่คงที่มีการขึ้นลงอยู่เสมอ ตามการประมูลแข่งขัน เพราะฉะนั้นต้องอาศัย Agency ที่มีทักษะการบริหารค่าโฆษณาค่อนข้างสูง ดังนั้นค่าใช้จ่ายแบ่งเป็น 2 ส่วนคือจ่ายล่วงหน้าให้ Google หรือตัดผ่านบัตรเครติด และจ่ายให้ Agency เป็นค่าบริหารจัดการและประมูล Key Word ในอัตราเปอร์เซนต์หรือไม่เกิน 10,000 บาท แล้วแต่ประสบการณ์ รายงาน (ค่าบริหารถูก แต่เสียค่าประมูล Key Word แพงโดยไม่จำเป็น)
- Google Display Network (GDN)/Adsence ปัจจุบัน Web Site เป็นที่แพร่หลายเรียกได้ว่าใครๆ ก็มี Google ได้อาศัยตัวเองเป็นตัวกลางในการรวบรวมที่เราเรียกว่า Website พันธมิตร เพื่อให้สามารถโฆษณาของเราไปแสดงที่หน้า Web Site พันธมิตรดังกล่าวโดยแบ่งส่วนรายได้ระหว่างกัน เช่น Banner ของ Agoda (Web จองโรงแรม) ไปแสดงที่ Web Site ของ กลุ่มเป้าหมาย คือ สายการบิน และ บริษัทรับจองตั๋วเครื่องบิน โดยเ จ้าของ Web ต้องสมัคร Adsence เพื่อเป็นพันธมิตร และผู้ที่เป็นเจ้าของโฆษาเป็นผู้ใช้บริการ Google AdWords และได้เลือกให้แคมเปญแสดงบนเครือข่ายดิสเพลย์ โดยการชำระเงินให้ Google ทำได้ 2 แบบ คือ Pay Per Click – PPC คือจ่ายเมื่อ Click ที่ Banner และ Cost per Mile –CPM เมื่อแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง ส่วนของ Agency จะเป็นค่าดำเนินการรายเดือน (3,000 ถึง 5,000 บาท)
- Social Medias (Facebook/Twitter)
- Facebook Marketing เราสามารถกำหนด ให้รูปภาพหรือข้อความการโฆษณาไปแสดงยังกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ รวมทั้ง Fan Page เพื่อให้โฆษณานั้นเข้าไปยังกลุ่มที่ตั้งค่าเอาไว้ ซึ่งค่าต่างๆ เช่น อายุ, เพศ, ประเทศ เมื่อเลือกทุกอย่างแล้วก็จะมีค่าตัวเลขจานวนคนที่จะสามารถเห็นโฆษณา โดยตัวเลขนี้เป็นค่าสูงสุดที่จะเห็นได้ การจ่ายเงินให้ Facebook นั้น ทำได้ 2 แบบ คือ Pay Per Click – PPC คือจ่ายเมื่อ Click ที่ Banner และ Cost per Mile –CPM เมื่อแสดงผลครบ 1,000 ครั้ง ส่วนของ Agency จะเป็นค่าดำเนินการรายเดือน (3,000 ถึง 5,000 บาท)
- Twitter Marketing คือ การส่งข้อความประชาสัมพันธ์/สร้างความสัมพันธ์สั้นๆ ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ในภาคธุรกิจต่างๆ ก็เห็นประโยชน์ในการส่งข้อความถึงกลุ่มลูกค้าอย่างรวดเร็วและถึงตัวบุคคลด้วยทวิตเตอร์เช่นเดียวกัน การทำการตลาดออนไลน์จึง นิยมใช้ทวิตเตอร์สร้างกลุ่มลูกค้าและกระจายข่าว ประชาสัมพันธ์ควบคู่กันไปกับ Social Media อื่น ส่วนมากเป็นการสร้าง Account ทวิตเตอร์สำหรับธุรกิจ ค่าดำเนินการเป็นของ Agency ในอัตรามประมาณ 2-3,000 บาท ต่อ 300 ข้อความ
- Youtube Marketing Youtube และ Google เป็นบริษัทฯเดียวกันYoutube เป็น Website หนึ่งที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก ดังนั้นสื่อโฆษณาหรือคลิปโฆษณาจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีประสิทธิภาพมากการใช้วีดีโอออนไลน์ทำโฆษณาทำให้ง่ายในการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็ว รูปแบบการทำ Marketing บน Youtube มีดังนี้
- True View In-Search Ads เป็นการแสดงวีดีโอ YouTube เมื่อมีผู้ค้นหาคลิปวีดีโอต่างๆตามคีย์เวิรด์ที่กำหนด ข้อความโฆษณาของคุณพร้อมกับวีดีโอ YouTube ก็จะแสดงขึ้น (คล้ายๆกับการค้นหาบน Google Search) ซึ่งจะเสียค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีผู้ไป Click (Pay Per Click – PPC) ที่วีดีโอของเรา
- True View In-Display Ads เป็นการนำวีดีโอ Youtube ของเราไปแสดงที่ผู้ชมกำลังชมวีดีโอ Youtube อื่นๆ เมื่อผู้ชมกำลังชมวีดีโอ ภาพ Thumbnail จะแสดงเป็นวีดีโอแนะนำ ทางด้านขาวมือของหน้า YouTube เพื่อแนะนำให้ผู้ชมเห็นวีดีโอที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ สามารถนำวีดีโอ YouTube ของเราไปแสดงบนหน้าเว็บไซต์พัธมิตรกับ Google ซึ่งจะเสียค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีผู้ไป Click (Pay Per Click – PPC) ที่วีดีโอของเรา
- True View In-Stream Ads เป็นการแสดงโฆษณา YouTube ของเราก่อนแสดงวีดีโอ Youtube อื่นๆ ที่ถูกเลือกและหลังจากนั้น 5 วินาที ผู้ชมสามารถเลือกได้ว่าจะชมโฆษณาต่อหรือจะ skip เพื่อเข้าสู่วีดีโอ Youtube ที่ต้องการ (คล้ายๆกับการฉายหนังตัวอย่าง เพื่อให้ผู้ชมตัดสินใจว่าจะดูโฆษณาต่อหรือไม่) ค่าใช้จ่าย: ถ้าความยาวของโฆษณา Youtube ของคุณยาวเกินกว่า 30 วินาที จะเสียค่าโฆษณาเมื่อผู้ชมดูวีดีโอ YouTube นั้น 30 วินาทีขึ้นไป แต่ถ้าความยาวน้อยกว่า 30 วินาที จะเสียค่าโฆษณาเมื่อวีดีโอ YouTube ถูกแสดงจนจบ
- YouTube Overlay Ads เป็นการแสดงข้อความโฆษณา หรือภาพแบนเนอร์ บนวีดีโอ YouTube การโฆษณาด้วยวิธีนี้เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในเวลาที่รวดเร็ว เพียงแค่มีข้อความโฆษณาหรือภาพแบนเนอร์ และนำไปแสดงบนวีดีโอ YouTube ที่เป็นที่สนใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หลังจากที่ผู้ชมคลิกบนข้อความโฆษณา ก็จะเข้สู่เว็บไซต์ของคุณ เพื่อดูรายละเอียดของสินค้าและบริการที่เขาสนใจ ซึ่งจะเสียค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อมีผู้ไป Click (Pay Per Click – PPC) ที่ Website หรือ ปลายทางที่เรา Link ไป
- Line Marketing เป็น Application บนมือถือที่ใครๆก็มี ด้วยการที่ใช้งานง่าย ตอบโจทน์การสื่อสารในยุคปัจจุบัน จีงมีผู้ใช้งานหลายล้านในปัจจุบัน โดยรูปแบบการตลาดที่เราสามารถพบเห็นได้นั้นมี 2 ช่องทาง
- Official Account LINE เป็นช่องทางที่แบรนด์หรือกลุ่มศิลปิน ดารา ผู้มีชื่อเสียงให้เป็นช่องทางสื่อสารกับกลุ่มแฟนของตัวเอง โดยจะส่งข้อความ ภาพ ไฟล์วิดีโอ หรือลิงค์ก็ได้ทั้งนั้น ส่วนการตอบกลับของผู้บริโภคจะมีเพียงแบรนด์เท่านั้นที่เห็นข้อความที่แฟนๆ ส่งมา โดยหากเราตอบรับแบรนด์นั้นๆ ด้วยการ Add Friend แล้ว ข้อความที่แบรนด์ส่งมาทาง LINE ก็จะส่งตรงไปยังผู้ที่ Add
- Brand Sticker ที่นิยมสำหรับแบรนด์ คือ การทำสติกเกอร์ Line โดยนำคาแร็กเตอร์หรือมาสคอตประจำแบรนด์มาทำเป็นสติ๊กเกอร์ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ค่าใช้จ่ายการทำ Marketing ทาง Line นั้นแพงเอาเรื่องเลยทีเดียว โดย Lineตั้งราคา ตั้งแต่ค่าออกแบบสติกเกอร์ ต้นทุนตรงนี้ 2-3 แสนบาท แต่ถ้ามีภาพมาให้ จะลดลงเหลือ 1.2 แสนบาท จากนั้นต้องเสียค่าปล่อยสติกเกอร์ใน “สติกเกอร์ช้อป” จ่ายอีก 1.3 แสนบาท เท่านั้นไม่พอมีสติกเกอร์แล้ว ก็ต้องมีค่าเช่าชาแนล หรือ Official channel ไว้ส่งข้อความเพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย มีทั้งแบบ เหมาจ่ายเดือนละ 5 แสนบาท จะส่งกี่ข้อความก็ได้ หรือ จะคิดต่อจำนวนข้อความ เฉลี่ยข้อความละ 50 สตางค์ รวมเบ็ดเสร็จอยากมีแบรนด์อยู่ใน Line ต้องใช้งบไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
- Game/Free Mobile Application ปัจจุบันนี้มีเกมมากกว่า 500 ล้านเกมทั่วโลก กระจายอยู่ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเกมที่เล่นกับโทรทัศน์ (Console Game) เกมที่สามารถพกพาได้ (Handheld Game) เกมตู้ (Arcade Game) เกมที่เล่นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ (PC Game) รวมไปถึงเกมที่เล่นผ่านอินเทอร์เน็ต (Online Game) หรือแม้กระทั้ง เกมที่เล่นบนมือถือ (Mobile Game) เคยสงสัยหรือไม่ว่าการที่มีผู้ที่ทำ Game หรือ Application Free เค้าจะได้อะไร ลองสังเกตุว่าของฟรีเหล่านี้มักจะมีโฆษณาแสดงขึ้นมาให้เราดูเสมอ หรือบางครั้งต้องทนดูคลิปโฆษณาจนจบเพื่อแลกแต้มใน Game นั้นๆ การโฆษณาโดยใช้เกม มักใช้กัน 2 วิธีก็คือ
- ทำโฆษณาไปอยู่ในเกม (In-game advertising) การแบรนด์/Banner ใส่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเกม เช่น การเป็นสปอนเซอร์ หรือซื้อโฆษณาเพื่อให้แบรนด์ไปปรากฏอยู่ในเกม เช่น ป้ายแมคโดนัลด์อยู่ในเกม เห็นและนึกถึง เวลาที่ต้องการสั่งซื้ออาหารมากินระหว่างที่เขาได้เล่นเกม หรือ Adidas ที่ใส่อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าของนักบอล เสื้อผ้า ลูกฟุตบอลต่างๆ ที่อยู่ในเกมส์
- สร้างเกมขึ้นมาเพื่อทำการโฆษณา (Adver Game) ปัจจุบันพบว่ามีเจ้าของสินค้าบางตัวผลิตฟรีเกมส์ เช่น BMW บริษัทผลิตรถยนต์ยี่ห้อดังจับมือกับบริษัทเกม เตรียมปล่อยฟรีแวร์ "BMW M3 Challenge" ลงเครื่องพีซีในช่วงปลายปีนี้
จะเห็นว่าเป็นศาสตร์หรือความรู้อีกแขนงที่น่าสนใจไม่น้อยรวมถึงเม็ดเงินที่จัดซื้อ
จัดจ้างในหมวดการตลาดนี้ไม่ใช่น้อยๆเลยและนับวันก็จะสูงขึ้นด้วย
ซึ่งหลายบริษัทจะปล่อยให้หน่วยงานการตลาด (Marketing) เป็นผู้ดำเนินการเอง ปัญหาที่เราทราบๆกันก็เกิดขึ้นอีก ทั้งการรั่วไหล
ประสิทธิภาพการจัดการเรื่องราคา และเงื่อนไขที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ (เทียบราคาไม่ได้ ใช้วิธีพิเศษตลอดเวลา)
นักจัดซื้อที่ไม่มีความรู้ก็มักจะปล่อยให้เขาดำเนินการเองซะด้วยสิ
หน้าที่ก็มีเพียงเปิดใบสั่งซื้อ (PO) ให้
กลายเป็นนักจัดซื้อแผนโบราณอีกไปตามระเบียบ
ปัลลพ
สัจจรักษ์
25
มิถุนายน 2557
หมายเหตุ :
ราคาและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากในปัจจุบัน การกล่าวถึง หรือให้ข้อมูลณ.วันที่เขียนนี้เท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น